12 คำถามก่อนแต่งงาน

12 คำถามที่คุณควรถามก่อนตัดสินใจแต่งงาน

การแต่งงาน คือ การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่และคู่ของคุณควรมีคำตอบที่ดีเยี่ยมและเข้ากันได้กับ12 คำถามเหล่านี้ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มต้น กำหนดวัน มองหาสถานณ์ที่ หรือ บอกกล่าวข่าวดีญาติพี่น้อง เพื่อนๆ การทราบทั้งหมดเกี่ยวกับคู่ของคุณ สุขภาพ, ครอบครัว, ประวัติทางกฎหมายและการเงินที่เป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งวิธีการที่คุณทั้งสองจะจัดการกับสถานการณ์ในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงการหย่าร้าง

อัตราการหย่าร้างในช่วงเวลา 10ปีที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่าง 40-50% หรือในประเทศไทยก็สูงถึง 27%-35% ของคู่ที่จดทะเบียนตามกฎหมาย นี่ยังไม่รวมถึงคู่ที่แต่งงานแต่ไม่ได้จดทะเบียน จะเห็นได้ชัดว่า เป็นอัตราที่น่ากลัวมากๆ แม้จะมีความรัก ความมุ่งมั่นที่มีให้กันจะมีความสำคัญสำหรับการทำให้ชีวิตแต่งงานเป็นไปอย่างมั่นคงและเข้มแข็ง แต่ว่าการรู้จักตัวเองนั่นก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกันเพื่อที่จะหลีกเลี้ยงปัญหามากมายในอนาคต

นี่คือ12 คำถาม ที่จะทำให้คุณและคู่ของคุณ มั่นใจว่า ไม่ได้คิดผิดที่จะแต่งงานกัน ซึ่งคุณควรพูดคุยกันก่อนการตัดสินใจที่สำคัญร่วมกันได้ อย่าหลีกเลี่ยงคำถามเหล่านี้ซึ่งคุณอาจเสียดายให้ที่ไม่ได้ถามเขาก่อนที่มันจะสายเกินไป

1. จะทำอย่างไรหากมีการย้ายถิ่นฐานในอนาคตที่จะมีผลต่อเราทั้งสอง

ถ้าคุณทั้งสองต่างมีอาชีพ หรือครอบครัวอยู่กันคนละที่ หรือมันอาจจะเป็นข้อเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจในการไปเที่ยวต่างถิ่น แต่การไปตั้งรกรากปักหลัก สร้างครอบครัว หรือมีอาชีพในต่างแดนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ควรตัดสินใจให้ดีว่า ใครควรเป็นฝ่ายเสียสละ หรือหากต้องแยกกันอยู่บ้างบางครั้ง จะเป็นอย่างไร ตัดสินใจและตกลงกันไว้ก่อนเวลาเพื่อความสะดวกสบายของแต่ละฝ่าย การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าคู่ของคุณจะย้ายมาเพื่อคุณหรือคุณยินดีที่จะย้ายไปเพื่อเขา และผลเสียที่ตามมาเราทั้งคู่จะจัดการอย่่างไร

2. เราทั้งคู่รู้สึกเข้ากันได้กับความเชื่อทางศาสนาของเราและความเชื่อของคนในครอบครัวของเราหรือไม่

ไม่มีใครอยากปิดหูปิดตา เมื่อพูดถึงเชื่อทางจิตวิญญาณ ศาสนา โดยเฉพาะต้องอยู่กันเป็นครอบครัว คุณคาดว่าคุณจะมีพิธีแต่งงานทางศาสนาและจะเลี้ยงดูบุตรของคุณในความเชื่อทางศาสนาของพวกของคุณ หรือของเขา คุณต้องแน่ใจว่าเขาและคุณเข้าใจและยินดีที่จะยอมรับได้เป็นอย่างดีของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือหากไม่สามารถเลือกได้จะหาทางสายกลางได้อย่างไร

3. วิธีการที่เราจะจัดการวิกฤตด้านสุขภาพสำหรับตัวเองหรือสมาชิกในครอบครัว

เราได้วางแผนที่จะดูแลสมาชิกในครอบครัวในบ้านของเรา พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ที่พวกเขาแก่ตัว มีปัญหาสุขภาพ หรือค่ากินอยู่ ร่วมกันกับคู่ของเราอย่างไร ต้องมีการวางแผนทางการเงินเพื่อให้พวกเขาอย่างไร หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียสละอาชีพการงานเพื่อย้ายถิ่นฐานหรือเพื่อดูแลบุตร

4. เราทั้งคู่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมที่อาจจะส่งผ่านไปยังบุตรหรือไม่

การตัดสินใจว่าต้องการบุตรไหม หรือประวัติทางสุขภาพของคุณ หรือคนในครอบครัว บรรพบุรุต โรคมะเร็งและโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ ควรรู้ระดับของความเสี่ยงของคุณและความเสี่ยงกับบุตรของคุณในอนาคต หรือหากไม่สามารถรับความเสี่ยงนั้นได้ ควรทำอย่างไร

5. การให้เวลากับครอบครัวของแต่ละฝ่ายในช่วงเวลาพิเศษ

วันหยุดหรือเทศกาลสำคัญ วันสงกรานต์ คริสมาตร์ หรือวันเกิดของพ่อแม่ หากทั้งสองฝ่ายมีครอบครัวที่อยู่ไกลกัน อาจจะเป็นเรื่องเครียดมากที่ต้องแบ่งเวลา วันหยุดที่มีไม่กี่วันในการเดินทางและฉลองร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของคุณและพ่อแม่ของคู่คุณ ทั้งสองต่างต้องการเวลาของคุณ แล้วเวลาของคุณสองคนหรือครอบครัวใหม่ของคุณละ อาจต้องคิดและตัดสินใจเลือกวิธีแบ่งเวลาของคุณเพื่อความสุขของทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ

6.มีสิ่งที่คุณหรือเขาไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองและต้องการปรับปรุงหรือไม่

ต้องคุยกันว่ามีสิ่งไหนที่เราทั้งคู่รู้สึกว่า ต้องพยายามทำเพื่อปรับเปลี่ยนหรือ ปรับปรุง เกี่ยวกับตัวเองเพื่อที่จะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เพื่อให้อีกฝ่ายหรือทั้งสองฝ่ายมีความสุขมากขึ้น และเราจะยินดีมากแค่ไหน จะทำได้หรือเปล่า

7. เรารู้สึกมั่นใจแค่ไหนว่าเราสามารถทำให้อีกฝ่ายหัวเราะได้

อาจเป็นคำถามทีี่ฟังดูง่ายๆสำหรับคู่รักแรกเริ่ม แต่มันก็สำคัญมากหากคุณรู้จักและเข้าใจความสุขของกันและกัน รู้ว่าอะไรจะทำให้อีกฝ่ายยิ้ม และหัวเราะได้ มันจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อคุณอยู่ด้วยกันนานไป ทุกอย่างจะเริ่มน่าเบื่อและเงียบเหงา หรือในช่วงวิกฤตเกิดขึ้น คุณต้องแน่ใจว่าคุณสามารถทำให้เขาหัวเราะได้และเขาก็จะทำให้คุณยิ้มได้เช่นกัน

8. เรามีความสิ่งที่ไม่ชอบในอีกฝ่ายหรือไม่และเราสามารถแก้ไขได้ไหม อย่างไร ทำไมเราไม่เคยพูดถึงมันมาก่อน

จะรอให้เกิดการทะเราะทำไม? ควรถามคู่ของเราในสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณตอนนี้และหาวิธีที่จะทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังเคารพความต้องการของพวกเขา และคุณควรแน่ใจว่าคุณทั้งคู่ยินดีที่จะเปิดใจ รับฟังและแก้ไขในนำข้อเสนอแนะของอีกฝ่าย


9. เราจะเปิดใจพูดคุยกับใคร หรือจะเข้าพบที่ปรึกษาปัญหาชีวิตคู่หรือไม่

ถ้าเรามีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเราเอง จะทำอย่างไร คู่รักที่มีปัญหาและมองหาทางแก้ไข จะสามารถประคับประคองชีวิตคู่ให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้และรักกันเพิ่มขึ้น ภรรยามีแนวโน้มที่จะมองหาทางออก หาที่ปรึกษา ในขณะที่สามีมักจะไม่เต็มใจที่จะได้รับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาจากบุคคลภายนอก นี่อาจเป็นสิ่งที่สำคัญและควรมีข้อตกลงร่วมกัน

10. คิดว่าปัญหาในความสัมพันธ์ที่เกิด เกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอกความสัมพันธ์

คำถามนี้แสดงให้เห็นว่าคู่ของคุณคิดว่าพวกเขาสามารถแก้ไข หรือ ปรับปรุง ปัญหาในความสัมพันธ์ได้หรือไม่ หากคิดว่า ปัญหาเหล่านั่นเกิดจากปัจจัยภายใน ซึ่งจะเป็นลักษณะของนักแก้ปัญหาและการคิดในเชิงบวก และในทางตรงกันข้าม หากคุณหรือเขาคิดว่าเกิดจากปัจจัยภายนอก นั่นก็แปลว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คุณต้องยอมรับ คุณไม่สามารถควบคุมมันได้ หรือแก้ไขอะไรไม่ได้และก็อยู่ที่คุณหรือเขาต้องคุยกันว่า “จะรับได้ไหม”

11. เราจะวางแผนภาระหน้าที่ทางการเงินและเป้าหมายในอนาคตอย่างไร

มันไม่เร็วเกินไปหรอก หากคุณมาถึงจุดที่จะถามอีกฝ่ายว่า พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันไหม คุณเริ่มต้นชีวิตแต่งงานด้วยการสร้างหนี้สินสำหรับงานแต่ง หรือบ้าน หรือธุรกิจ เช่นเดียวกับคู่รักหลายๆคู่หรือไม่ คุณพร้อมที่จะบอกถึงปัญหาทางการเงินที่คุณมีก่อนแต่งงานกันหรือไม่ หรือคุณพร้อมที่จะลงทุนอนาคตของคุณร่วมกันหรือแยกกันอย่างไร และในกรณีฉุกเฉินทางการเงินคุณมีแผนในการแก้ปัญหาอย่างไร

12. เราสามารถเชื่อใจกันมากแค่ไหนว่า เราทั้งคู่พร้อมและมั่นใจที่จะแต่งงานกัน

ความเชื่อใจกัน เป็นสิ่งที่สำคัญและจะสร้างความมั่นคงในความรักและชีวิตแต่งงาน ความเชื่อใจ ไว้วางใจ ขึ้นอยู่กับคำพูดและการกระทำ ถามตัวเองคำถามนี้แล้วก็ถามคู่ของคุณด้วย ว่าเขายังมีความสงสัยหรือลังเลใดๆอยู่ในใจหรือเปล่า ที่จะรักและรับผิดชอบชีวิตของกันและกัน พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันไหม และจะทำอย่างไรหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังลังเลหรือไม่เชื่อใจในความรักที่มีต่อกัน

ให้คำถามเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการพูดคุยก่อนที่คุณทั้งคู่จะก้าวเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต คุณจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลังว่าคุณน่าจะได้ถามคำถามเหล่านี้ก่อนตกลงจดทะเบียนสมรส มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะได้คุยกันในวันที่ชีวิตของคุณทั้งคู่จะต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะทุกอย่างอาจไม่ได้จบบริบูรณ์อย่างมีความสุขเมื่อคู่รักแต่งงานกันอย่างในนิยาย ซึ่งคุณทั้งคู่ก็ยังสามารถรักกันโดยที่ไม่ต้องทำลายความฝันของกันและกัน ด้วยการแต่งงานในขณะที่ยังไม่พร้อมหรือแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่

แชร์ต่อไป

เพิ่มความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น